กพช. หรือคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบเดินหน้าโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา สำหรับภาคประชาชน (โซลาร์ภาคประชาชน) เฟส 2 กำลังการผลิตรวม 1,500 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระดับครัวเรือนและชุมชน รวมถึงลดการพึ่งพิงพลังงานฟอสซิล ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญของการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนของประเทศ การเดินหน้าโครงการครั้งนี้มีกำหนดเปิดรับสมัครให้ประชาชนและหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมโครงการได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองและจำหน่ายส่วนเกินให้กับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ โดยจะมีการกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมและเป็นธรรม
ประเด็นสำคัญจาก: กพช. เดินหน้าโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ เปิดเข้าโครงการพ.ย.นี้
การขยายโครงการโซลาร์ภาคประชาชนในเฟส 2 ด้วยกำลังการผลิตรวม 1,500 เมกะวัตต์ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในระดับฐานราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูงในประเทศไทย โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าของประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตพลังงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าในระยะยาว และสร้างความตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของพลังงานทางเลือก การที่ กพช. ตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้เป็นผลมาจากความสำเร็จและความสนใจจากประชาชนในเฟสแรก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงและแนวโน้มที่ดีของการใช้โซลาร์เซลล์ในครัวเรือน
นอกจากนี้ การกำหนดเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 1,500 เมกะวัตต์ ถือเป็นการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับเฟสแรก ซึ่งจะช่วยให้มีครัวเรือนและชุมชนจำนวนมากสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีโซลาร์รูฟท็อปได้มากขึ้น การเปิดรับสมัครในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการให้เป็นรูปธรรม โดยคาดว่าจะได้รับความสนใจจากประชาชนและภาคส่วนต่างๆ เป็นจำนวนมาก ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับประโยชน์จากการผลิตไฟฟ้าใช้เอง ซึ่งช่วยลดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน และยังสามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินที่ผลิตได้คืนให้กับระบบการไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งและเป็นการคืนทุนค่าติดตั้งในระยะเวลาที่เหมาะสม
โครงการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันนโยบาย Energy 4.0 ที่เน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าได้อย่างยืดหยุ่น การส่งเสริมโซลาร์ชุมชนยังถือเป็นการกระจายศูนย์การผลิตไฟฟ้าออกจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่อาจมีความผันผวนด้านราคาและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การตัดสินใจดังกล่าวของ กพช. จึงถือเป็นการมองไปข้างหน้าเพื่ออนาคตพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศไทย โดยคำนึงถึงทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การดำเนินการโครงการโซลาร์ภาคประชาชนเฟส 2 จะมีรายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ โดยคาดว่าจะเปิดโอกาสให้ทั้งครัวเรือนขนาดเล็กและชุมชน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความสนใจสามารถเข้าร่วมได้ การกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินเป็นปัจจัยสำคัญที่จูงใจให้ผู้คนหันมาลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งราคาดังกล่าวจะต้องมีความเป็นธรรมและคุ้มค่าต่อการลงทุน เพื่อให้เกิดความมั่นใจและแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการที่ต่อเนื่องและยั่งยืน กลไกการรับซื้อไฟฟ้าจะดำเนินการโดยการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าและเชื่อมโยงระบบกับโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ
นอกจากเรื่องของราคารับซื้อและกลุ่มเป้าหมายแล้ว การสนับสนุนด้านเทคนิคและขั้นตอนการขออนุญาตก็เป็นสิ่งสำคัญที่ภาครัฐจะต้องอำนวยความสะดวก เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้อย่างราบรื่นและถูกต้องตามมาตรฐาน การเข้าถึงข้อมูลที่ชัดเจนและคู่มือการปฏิบัติที่เข้าใจง่ายจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดอุปสรรคในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ การสนับสนุนแหล่งเงินทุนหรือการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการเข้าร่วมโครงการได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวเสริมให้โครงการโซลาร์ภาคประชาชนเฟส 2 ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ และช่วยกระจายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไปสู่ทุกภาคส่วนของสังคม
สรุปข่าวทั้งหมด
การเดินหน้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน เฟส 2 โดย กพช. ด้วยกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมพลังงานสะอาดและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แต่ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย และสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าส่วนเกิน การเปิดรับสมัครในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ผู้ที่สนใจจะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพลิกโฉมภูมิทัศน์พลังงานของไทยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับราคารับซื้อ เงื่อนไขการเข้าร่วม และการอำนวยความสะดวกจากภาครัฐจะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจับตา เพื่อให้โครงการนี้บรรลุวัตถุประสงค์และเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติในระยะยาว
